วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วาสนาราชินี


วาสนาราชินี
ชื่อสามัญ: Queen of Dracaenas
ชื่อวิทยาศาสตร์: Dracaena goldieana.
ตระกูล: AGAVACEAE
ชื่ออื่น: มังกรหยก
ลักษณะทั่วไป
วาสนาราชินีเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 4-10 เมตร ลำต้นกลม ต้นตรง ไม่มีกิ่งก้าน ลำต้นเป็นข้อถี่ ผิวเปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกจากลำต้นส่วนยอดเรียงซ้อนกันเวียนรอบลำต้นเป็นรูปวงกลมลักษณะใบเรียวยาว ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเกลี้ยงเป็นมันสีเขียว ตัวใบโค้งงอ ขนาดใบกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 20-40
เซนติเมตรออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้นช่อดอกมีขนาดใหญ่เป็นรูปทรงกลมช่อดอกยาวดอกมีขนาดเล็กอยู่รวม กันเป็นกลุ่มดอกมีสีขาวหรือเหลืองอ่อน กลิ่นหอมฉุน

การเป็นมงคล
         คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นวาสนาราชินีไว้ประจำบ้านจะทำให้มีบุญที่ลูงล้นมีโชควาสนาที่ประเสริฐนักเพราะต้นวาสนาราชินีเป็นไม้มงคลนามที่คนไทยโบราณนิยมปลูกกันมานานและยังมีความเชื่ออีกว่าถ้าผู้ใดปลูกต้นวาสนาแล้วสามารถดูแลรักษาไว้สวยงามและออกดอก เชื่อกันว่าจะทำให้มีโชคลาภตามไปด้วย

ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก
วาสนาราชินี
          เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นวาสนาราชินีไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทางใบให้ปลูกในวันอังคาร ถ้าจะให้เป็นมงคลยิ่งขึ้นผู้ปลูกควรเป็นสภาพสตรี เพราะวาสนาราชินีเป็นชื่อที่เหมาะสมกับสุภาพสตรี

การปลูก
   การปลูกมี 2 วิธี
          1.การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก: ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก
          2.การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคาร ควรใช้กระถางทรงสูงขนาด 10-18 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก: แกลบผุ : ดินร่วนอัตรา 1:1:1 ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถาง12ปี/ครั้งหรือแล้วแต่ความเหมาะสมของทรงพุ่มเพราะการขยายตัว ของรากแน่นเกินไป และเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่ทดแทนดินเดิมที่เสื่อมสภาพ

การดูแลรักษา
แสง   ต้องการแสงแดดอ่อนรำไร จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
น้ำ   ต้องการปริมาณน้ำปานกลางจนถึงมาก ควรให้น้ำ 5-7 วัน/ครั้ง
ดิน   ชอบดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย มีความชื้นปานกลางจนถึงสูง
ปุ๋ย   ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 5-6 ครั้ง
การขยายพันธ์  วิธีที่นิยมและได้ผลดี คือ การปักชำ
โรค   ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อสภาพธรรมชาติพอสมควร


วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พิกุล



ต้นพิกุล
ชื่อสามัญ: Bullet Wood
ชื่อวิทยาศาสตร์: Mimusops elengi Linn.
ตระกูล: SAPOTACEAE

ดอกไม้สัญลักษณ์
     ดอกพิกุลเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดลพบุรี และดอกพิกุลเป็นดอกไม้ประจำโรงเรียนราชินี โรงเรียนราชินีบน โรงเรียนสตรีวิทยา 2 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา๒ โรงเรียนวัดราชโอรส และ โรงเรียนเซนต์หลุยส์ศึกษา

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
     พิกุลเป็นไม้ยืนต้น ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ รูปรี รูปไข่กว้าง 2 - 6 ซม. ยาว 7 - 15 ซม.ปลายใบแหลมเป็นติ่งขอบใบเป็นคลื่น ดอกเดี่ยว อยู่รวมกันเป็นกระจุกที่ปลายกิ่งหรือที่ซอกใบ กลีบเลี้ยง 8 กลีบ เรียงซ้อนกัน 2 ชั้น กลีบดอกประมาณ 24 กลีบ เรียงซ้อนกันโคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเล็กน้อย ดอกสีขาว เมื่อใกล้โรยสีเหลืองอมน้ำตาล ดอกบานวันเดียวแล้วร่วง มีกลิ่นหอม ออกดอกตลอดปี ผลสีเหลือง รสหวานอมฝาด

การปลูกเลี้ยง
     ปลูกได้ในดินทุกชนิด กลางแจ้ง ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง เจริญได้ดีในดินทุกชนิด ชอบแดดจัด ทนต่อสภาพต่าง ๆ ได้ดี ขึ้นประปรายในป่าดิบทางภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ปัจจุบันมีการเพาะปลูกจำหน่ายเป็นจำนวนมาก

ประโยชน์
    1.ปลูกเป็นไม้ประดับและให้ร่มเงา ลำต้นใช้ในการก่อสร้าง ทำโครงเรือเดินทะเล เครื่องมือการเกษตร
     2.เปลือกต้น ต้มอมกลั้วคอ แก้เหงือกอักเสบ เนื้อไม้ที่ราลงมีสีน้ำตาลเข้มประขาว มีกลิ่นหอม เรียกว่า ขอนดอก ใช้บำรุง ตับ ปอด หัวใจ และบำรุงครรภ์
     3.ดอก มีกลิ่นหอมจัดอยู่ในพิกัดเกสรทั้งห้า เข้ายาหอม บำรุงหัวใจ แก้เจ็บคอ น้ำมันหอมระเหยจากดอกใช้ทาแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
     4.ผลสุก ใช้รับประทานได้
     5.เมล็ด ตำให้ละเอียดทำเป็นยาเม็ดสำหรับสวนเวลาท้องผูกอีก ของร้องด้วย

การเป็นมงคล
      คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นพิกุลทองไว้ประจำบ้านจะทำให้มีอายุยืน เพราะโบราณเชื่อว่าต้นพิกุลทองเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงทนทานและมีอายุยาวนาน ดังนั้นจึงนิยมใช้เนื้อไม้นำมาใช้ประโยชน์ในงานพิธีมงคลได้เป็นอย่างดี เช่นด้ามหอกที่ใช้เป็นอาวุธ เสาบ้าน พวงมาลัยเรือ และยังมีความเชื่ออีกว่าต้นพิกุลทองเป็นต้นไม้ที่มีความขลังและศักดิ์สิทธิ์ เพราะโบราณเชื่อว่าเป็นไม้ที่มีเทพเจ้าสิงสถิตอยู
                                                                                                 อ้างอิง:http://th.wikipedia.org/wiki/

เงินไหลมา


ต้นเงินไหลมา
ชื่อสามัญ:Tricolor Nephthytis
ชื่อวิทยาศาสตร์: Syngonium podophyllum
ตระกูล: ARACEAE
ลักษณะทั่วไป
        เงินไหลมาเป็นพรรณไม้เลื้อยที่มีเถายาว ลำต้นมีความยาวประมาณ 10-20 เมตร มีลำต้นกลมสีเขียว ผิดลำต้นเกลี้ยงเป็นข้อห่าง ๆ และมีรากออกตามข้อลำต้นแต่ละข้อจะมีกาบใบหุ้มอยู่ใบเดียวออกตามข้อสลับกันซึ่งมีก้านใบยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ใบเป็นแฉกประมาณ 5 แฉก ขนาดใบกว้างประมาณ 3-5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ใบเป็นแฉกลึกเข้าหาโคนใบ ส่วนปลายใบเรียวแหลม พื้นใบมีสีเขียว และมีสีเหลืองปนอยู่ที่บริเวณลยเส้นใบเล็กน้อยถ้ามีอายุมากจะออกดอกตรงส่วนยอดลักษณะดอกคล้ายกับดอกของบอน

การเป็นมงคล
         คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นเงินไหลมาไว้ประจำบ้าน จะทำให้เกิดความร่ำรวย เพราะเงินไหลมาเป็นไม้มงคลนาม สามารถทำให้เงินทองไหลมาสู่บ้านและผู้อาศัย จึงทำให้เกิดความมั่งมี และยังมีความเชื่ออีกว่าต้นเงินไหลมายังช่วยสร้างความเป็นเสน่ห์แก่บ้านและผู้อาศัย เพราะลักษณะใบของต้นเงินไหลมามี สีสรร สวยงาม สีกลางใบคล้ายสีเงิน
ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นเงินไหลมาไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาคุณทางใบให้ปลูกในวันอังคาร

การปลูก มี 2 วิธี
1. การปลูกในกระถางเพื่อใช้ประดับภายในและภายนอกอาคาร ใช้กระถางทรงสูง ขนาด 10-16 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอก: แกลบ: ขุยมะพร้าว: ดินร่วน อัตรา 1 : 1 : 1 : 1 ผสมดินปลูก เมื่อปลูกแล้วให้ใช้ไม้หลักปักไว้ตรงกลางกระถางเพื่อเป็นที่ยึดเกาะของราก และควรเป็นไม้หลักที่หุ้มด้วยกาบมะพร้าวจะเหมาะสมอย่างยิ่งหลังจากนั้นควรจัดแต่งทรงพุ่มและให้ปุ๋ยสม่ำเสมอและควรเปลี่ยน กระถาง เมื่อมีอายุประมาณ 2-3 ปี เพราะการขยายของรากอัดกันแน่นเกินไป ภายในกระถางหรือตามความเหมาะสมของทรงพุ่ม
2. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ถ้าปลูกในแปลงปลูกมักปลูกตามบริเวณรอบโคนไม้อื่น หรือทำร้านเพื่อให้รากยึดเกาะ และเลื่อยขึ้นได้ การเตรียมดินปลูกเหมือนกับปลูกพันธุ์ไม้อื่น ๆ ทั่วไป ขนาดหลุมปลูกประมาณ 20 x 20 x 20 เซนติเมตรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:ดินร่วนอัตรา1;1ผสมดินปลูกถ้าปลูกเป็นกลุ่มเพื่อตกแต่งบริเวณสวนต้องทำให้พุ่มเตี้ย ควรตัดยอดออกบ้างพอเหมาะสม หรือให้เลื้อยไปตามพื้นดินก็ได้

การดูแลรักษา
        แสง   ต้องการแสงแดดรำไร หรือในร่ม
 น้ำ    ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 5-7 วัน/ครั้ง
        ดิน   ดินร่วนซุย
        ปุ๋ย   ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 300-500 กรัม/ต้น ใส่ 1-2 เดือน / ครั้ง
การขยายพันธ์   การปักชำ
โรคและแมลง   ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและศัตรู เพราะเป็นพันธุ์ไม้ที่สามารถทนต่อสภาพธรรมชาติได้ดี


กก

ต้นกก
ชื่อทางการค้า : กกราชินี,  กกรังกา,  กกลังกา
ชื่อวิทยาศาสตร์: Cyperus involucratus Roxb.
ชื่อพ้อง: Cyperus alternifolius L.
ชื่อวงศ์: CYPERACEAE
ชื่อสามัญ: Umbrella Plant
ชื่อท้องถิ่น: กกรังกา, หญ้ากก,  กกกลม,
ถิ่นกำเนิด: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ลักษณะพืช: ไม้ล้มลุก
ลักษณะทั่วไป: เป็นวัชพืชน้ำที่เจริญได้ดีในช่วงฤดูฝนมีลักษณะแตกกอ ลำต้นเหนียว
เมื่อออกดอกปลายฤดูฝน เมล็ดก็จะร่วงลงดิน และจะเจริญในฤดูฝนปีต่อมา

การขยายพันธุ์: เพาะเมล็ด แยกกอ

ประโยชน์ของต้นกก
       1. ทำเป็นเสื่อสำหรับนอน  สำหรับปูพื้นในห้องรับแขกแทนพรม  และปูลาดตามพื้นโบส์ถวิหาร
เพื่อความสวยงาม
       2. ทำเป็นกระเป๋า  แทนกระเป๋าหนัง  ทำเป็นรูปต่าง ๆ  ได้หลายแบบ  แล้วแต่ผู้ประดิษฐ์คิดค้นแบบ
ต่าง ๆ  กัน  ทำเป็นกระเป๋าสตางค์   ทำเป็นกระเป๋าหิ้วสตรี   กระเป๋าใส่เอกสาร   แต่ปัจจุบันมีผู้ทำกันน้อย
เพราะกระเป๋าหนัง  กระเป๋าพลาสติก  ราคาถูกลงมากการทำไม่ค่อยคุ้มค่าแรงงาน
       3. ทำเป็นหมอน  เช่น  หมอนรองที่นั่ง  หมอนพิงพนักเก้าอี้  เรียกว่า  หมอนเสื่อ
       4. ทำเป็นกระสอบ  เรียกว่ากระสอบกก
       5. ทำเป็นเชือกสำหรับมัดของที่ห่อแล้ว  ตามร้านค้าทั่วไปนิยมใช้เชือกกก  เพราะราคาถูกมาก
       6. ทำเป็นหมวก  ใช้กันแดด   กันความร้อนจากแสงแดด   กันฝน  หรือเพื่อความสวยงาม
       7. ทำเป็นกระจาดใส่ผลไม้  หรืออาหารแห้ง
       8. การใช้งานด้านภูมิทัศน์   ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับริมสระน้ำ   ในสวน  หรือปลูกในภาชนะร่วมกับ
ไม้น้ำอื่น ๆ
       9. เป็นแหล่งหลบซ่อนตัวของสัตว์น้ำวัยอ่อน   และต้นกกมีคุณสมบัติในการบำบัดน้ำเสีย   ปรับสมดุลนิเวศน์วิทยา
      10. ใช้เป็นยารักษาโรค  เช่น
                  -  ใบ  ตำพอกฆ่าพยาธิบาดแผล
                  -  ต้น  รสเย็นจืด  ต้มเอาน้ำดื่ม  รักษาโรคท่อน้ำดีอักเสบ  ขับน้ำดี
                  -  ดอก  รสฝาดเย็น  ต้มเอาน้ำอม  แก้แผลเปื่อยพุพองในปาก
                  -  เหง้า  รสขม  ต้มเอาน้ำดื่ม  หรือบดเป็นผง  ละลายน้ำร้อนดื่ม  บำรุงธาตุ
   เจริญอาหาร  แก้เสมหะ  ขับน้ำลาย
                  -  ราก  รสขมเอียน  ต้มเอาน้ำดื่ม  หรือตำกับเหล้า  คั้นเอาน้ำดื่ม  แก้ช้ำใน  ขับโลหิตเน่าเสีย

ประโยชน์ของต้นกก

โกสน



โกสน
ชื่อวิทยาศาสตร์: Codiaeum variegatium (L.) Blume
ชื่อสามัญ: Croton, Variegated Laurel, Garden Croton
ชื่ออื่น: กรีกะสม กรีสาเก โกรต๋น (ทั่วไป)
วงศ์: EUPHORBIACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
       ไม้พุ่ม สูง 2-3 ม.
       ใบ ใบเรียงเวียนสลับ ใบเดี่ยว รูปใบมีหลายแบบ เช่นกลม แถบยาว รูปไข่แกมรูปหอก ความกว้างยาวของใบไม่สามารถกำหนดได้ เนื่องจากมีความผันแปรมาก โคนใบแหลม ปลายใบแหลม บางครั้งมีเส้นกลางใบยื่นแล้วมีรยางค์แผ่เป็นใบเล็กๆ อีก 2 ใบ ขอบใบเรียบหรือเว้า บางต้นเว้าถึงเส้นกลางใบ แผ่นใบอาจบิดเป็นเกลียว มีสีต่างๆ เช่น ขาว เหลือง ส้ม ชมพู แดง ม่วงและดำ
       ดอก ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง ดอกแยกเพศ ช่อดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน ช่อดอกเพศผู้มีดอกกลม เล็ก ดอกย่อยมี 30-60 ดอก กลีบดอก 5-6 กลีบ เกสรเพศผู้จำนวนมาก ช่อดอกเพศเมียตั้งขึ้น มี 10-20 ดอก ไม่มีกลีบดอก เกสรเพศเมียแยกเป็น 3 แฉก
       ผล ผลกลม มี 3 พู เมื่อแก่แตกได้ มี 3 เมล็ด แต่ละช่องมี 1 เมล็ด

                                                      การเป็นมงคล
โกสน
      คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นโกสนไว้ประจำบ้าน จะทำให้มีบุญบารมี เพราะโกสนโบราณคงกล่าวถึง กุศล คือ การสร้างบุญ คุณงามความดีนอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่าสามารถช่วยคุ้มครองให้มีความอยู่เย็นเป็นสุขเพราะคนโบราณเชื่อว่าต้นโกสนเป็นต้น
ไม้เก่าแก่ที่ปลูกคู่บ้านคู่มืองโดยสมัยรัชกาลที่5 ทรงนำเข้ามาปลูกไว้ในพระราชวังบ้านขุนนางวัดหลวงเพื่อให้เกิดความร่วมเย็นเป็นสุขตลอดมา


ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก 
         เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นโกสนไว้ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางใบให้ปลูกในวันอังคาร

การปลูก
        การปลูกแบ่งเป็น 2 วิธี
         1. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับภายนอกอาคารบ้านเรือน ใช้กระถางทรงสูง ขนาด 10-16 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก :   ขุยมะพร้าว : ดินร่วน อัตรา 1 : 1 : 1 ผสมดินปลูก ควรเปลี่ยนกระถาง 1-2 ปี / ครั้ง เพราะการเจริญเติบโตของทรงพุ่มโตขึ้น
   และเมื่อต้องการเปลี่ยน ดินปลูกใหม่ทดแทนดินปลูปเดิมที่เสื่อสภาพไป
         2. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน โบราณนิยมปลูกบริเวณหน้าบ้าน
    หรือทำเป็นแนวรั้วบ้านเพื่อที่จะสร้างจุดเด่นให้กับบ้าน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ย คอก หรือปุ๋ยหมัก :   ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก

พลูด่าง

พลูด่างGolden Pothos



ชื่อวิทยาศาสตร์: Scindapsus aureus
วงศ์: ARACEAE
ถิ่นกำเนิด: หมู่เกาะโซโลมอน
แสงแดด: กึ่งแดด ร่มรำไร
อุณหภูมิ: 18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น: ต้องการความชื้นสูง
น้ำ: ต้องการน้ำมาก
การขยายพันธุ์: ขยายพันธุ์โดยการปักชำ
อัตราการคายความชื้น: ปานกลาง
อัตราการดูดสารพิษ: มาก

ลักษณะ
     พลูด่างเป็นไม้เลื้อยที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับภายในอาคารและบ้านเรือนมานานแล้ว ด้วยรูปใบและสีเขียวแต้มเหลืองที่ดูสวยงาม โดยเฉพาะเมื่อมันเลื้อยพันหรือห้อยย้อยลงมาดูอ่อนช้อยและเพิ่มความมีชีวิตชีวา แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ถึงความสามารถในการดูดสารพิษในอากาศของพลูด่าง
พลูด่างเป็นไม้เลื้อยที่ลำต้นมีรากงอกออกมาตามข้อ ใบกลมป้อมคล้ายรูปหัวใจ ปลายใบแหลม โคนใบโค้งมนเล็กน้อย ใบมีสีเขียวและมีรอยด่างสีเหลืองอยู่ที่ใบทำให้ดูสวยงาม
พลูด่างเป็นพืชที่ปลูกง่าย แม้เพียงปักชำในน้ำก็สามารถเจริญเติบโตได้และเจริญเติบโตได้รวดเร็ว ต้องการน้ำมากและแสงแดดพอสมควร แต่ก็สามารถอยู่ได้แม้มีแสงและน้ำน้อย นิยมปลูกในกระถางแขวนหรือกระถางที่มีเสาเหล็กให้เลื้อยพันหรือให้เลื้อยตามโคนต้นไม้ใหญ่ ถ้าปลูกลงดินใบจะใหญ่มาก

การดูแล 
    ต้องการแสงจากแสงแดดหรือแสงไฟจากไฟนีออนพอสมควร ต้องการน้ำพอสมควร ถ้าอากาศภายในห้องแห้ง ควรฉีดหรือพ่นละอองไอน้ำให้ หรือเช็ดใบด้วยผ้าเปียกหมาดๆ
การปลูก ขยายพันธุ์โดยการใช้กิ่งหรือลำต้นที่มีใบติดอยู่ไป ปักชำเลี้ยงในน้ำหรือปลูกในดินก็ได้ ปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิด ส่วนผสมของดินใช้ดิน 2 ส่วน ทราย 1 ส่วน เศษใบไม้ผุหรือขุยมะพร้าว 1 ส่วน ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักละลายน้ำอย่างเจือจางรดเดือนละครั้ง

วาสนา



ต้นวาสนา
ชื่อวิทยาศาสตร์:  Dracaena goldieana
ชื่อวงศ์:  AGAVACEAE
ชื่อสามัญ:  Queen of Dracaenas
ชื่อพื้นเมือง:  มังกรหยก
ลักษณะทั่วไป
    ต้น  เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 4-10 เมตร ลำต้นกลม ต้นตรง ไม่มีกิ่งก้าน ลำต้นเป็นข้อถี่ ผิวเปลือกลำต้นมีสีน้ำตาล
    ใบ  เป็นใบเดี่ยวแตกออกจากลำต้นส่วนยอดเรียงซ้อนกันเวียนรอบลำต้นเป็นรูปวงกลมลักษณะใบเรียวยาว ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเกลี้ยงเป็นมันสีเขียว ตัวใบโค้งงอ ขนาดใบกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 20-40 เซนติเมตร
    ดอก  ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้นช่อดอกมีขนาดใหญ่เป็นรูปทรงกลมช่อดอกยาวดอกมีขนาดเล็กอยู่รวมกันเป็นกลุ่มดอกมีสีขาวหรือเหลืองอ่อน

การปลูก
        1.ปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน
        2.ปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคาร
ดอกของต้นวาสนา

การดูแลรักษา
        ต้องการแสงแดดอ่อนรำไร จนถึงแสงแดดจัด ชอบดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย มีความชื้นปานกลางจนถึงสูง

การขยายพันธุ์
        การปักชำยอดหรือลำต้น หรือตัดลำต้นเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ 6–8 นิ้ว ตั้งใส่ถาดตื้นๆ หล่อน้ำไว้จนแตกหน่อแตกใบ

ส่วนที่มีกลิ่นหอม:  ดอก

การใช้ประโยชน์
    -    ไม้ประดับ
    -    สมุนไพร

ถิ่นกำเนิด:  เอธิโอเปีย ไนจีเรีย กินี
สรรพคุณทางยา:  ใบ แก้ปวดท้อง ราก บรรเทาอาการปวดในการคลอดบุตร
*เป็นไม้ประดับอีกชนิดหนึ่งที่ดูดสารพิษภายในอาคารจำพวก ฟอร์มาดีไฮด์ ได้มีประสิทธิภาพ


อ้างอิง: http://www.nanagarden.com/